เมนู

สุภูติวรรคที่ 3


21. อรรถกถาสุภูติเถราปทาน


อปทานของท่านพระสุภูติเถระ มีคำเริ่มต้นว่า หิมวนฺตสฺสาวิทูเร
ดังนี้.
ท่านสุภูติเถระแม้นี้ บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าพระองค์
ก่อนๆ สั่งสมบุญทั้งหลาย้อนเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้น ๆ
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้เป็นนาถะของโลก ยังไม่
เสด็จอุบัติขึ้น ในที่สุดแห่งแสนกัปแต่ภัตทกัปนี้ ท่านเกิดเป็นบุตรน้อยคน
หนึ่งของพราหมณ์มหาศาลคนหนึ่ง ในหังสวดีนคร. พราหมณ์ได้ตั้งชื่อท่าน
ว่า นันทมาณพ. นันทมาณพนั้นเจริญวัยแล้ว เรียนไตรเพท เมื่อไม่เห็น
สิ่งที่เป็นสาระในไทรเพทนั้น จึงบวชเป็นฤาษีอยู่ที่เชิงเขาพร้อมด้วยมาณพ
44,000 ผู้เป็นบริวารของคน ยังสมาบัติ 8 และอภิญญา 5 ให้เกิดแล้ว.
ทั้งได้บอกกรรมฐานให้แก่อันเตวาสิกทั้งหลายอีกด้วย. แม้อันเตวาสิก
เหล่านั้นต่างก็ได้ฌาน โดยกาลไม่นานเลย.
ก็โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระเสด็จอุบัติ
ขึ้นในโลก อาศัยหังสวดีนครประทับอยู่ วันหนึ่ง ในเวลาใกล้รุ่งทรงตรวจ
ดูสัตว์โลก ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัต ของเหล่าชฎิลผู้เป็นอันเตวาสิก
ของนันทดาบส และความปรารถนาตำแหน่งสาวก อันประกอบไปด้วย
องค์สองของนันทดาบส จึงทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระแต่เช้าตรู่
ในเวลาเช้าทรงถือบาตรและจีวร ไม่ทรงชวนภิกษุไร ๆ อื่น เป็นดุจสีหะ
เสด็จไปเพียงพระองค์เดียว ขณะนั้นอันเตวาสิกของนันทดาบสไปหาผลาผล
เมื่อนันทดาบสมองเห็นอยู่นั่นแล เสด็จลงจากอากาศ ประทับยืนอยู่ที่

พื้นดิน โดยทรงพระดำริว่า ขอนันทดาบสจงรู้ว่าเราเป็นพระพุทธเจ้า
ดังนี้.
นันทดาบสเห็นพุทธานุภาพ และความบริบูรณ์แห่งพระลักษณะ
พิจารณาดูมนต์สำหรับทำนายพระลักษณะ แล้วรู้ว่า ขึ้นชื่อว่า ผู้ประกอบ
ด้วยลักษณะเหล่านั้น เมื่ออยู่ครองเรือน จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
เมื่อออกบวชจะได้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ผู้ตัดวัฏฏะโนโลกได้ขาด.
บุรุษอาชาไนยผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย แล้วกระทำการ
ต้อนรับ ไหว้โดยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วปูอาสนะถวาย.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับนั่งบนอาสนะที่ปลายไว้แล้ว.
ฝ่ายนันทดาบสเลือกอาสนะที่สมควรแก่ตน แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง
สมัยนั้น ชฎิล 44,000 คนถือเอาผลาผลมีรสโอชาล้วนแต่ประณีต
มายังสำนักของอาจารย์ มองดูอาสนะที่พระพุทธเจ้าและอาจารย์แล้ว พูด
ว่า ข้าแต่อาจารย์ พวกข้าพเจ้าทั้งหลาย วิจารณ์กันว่า ในโลกนี้ ไม่มีใคร
ใหญ่กว่าท่าน แต่ชะรอยบุรุษนี้จักใหญ่กว่าท่าน.
นันทดาบสกล่าวว่า พ่อคุณ พวกท่านพูดอะไร (อย่างนั้น) พวก
ท่านประสงค์จะเปรียบเขาสิเนรุราชซึ่งสูง 680,000 โยชน์ กับเมล็ดพันธุ์
ผักกาด พวกท่านอยู่เอาเราไปเปรียบกับพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเลย.
ลำดับนั้น ดาบสเหล่านั้นคิดว่า ถ้าท่านผู้นี้จักเป็นคนต่ำต้อย อาจารย์
ของพวกเราคงไม่หาข้อเปรียบเทียบอย่างนี้ บุรุษอาชาไนยนี้ ใหญ่
ขนาดไหนหนอ ดังนี้แล้ว พากันหมอบลงแทบเท้า แล้วนมัสการด้วย
ลำดับนั้น อาจารย์กล่าวกะดาบสเหล่านั้นว่า พ่อทั้งหลาย ไทยธรรม

อันสมควรแด่พระะพุทธเจ้าทั้งหลายของเราไม่มี และพระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็เสด็จมาในเวลาภิกขาจาร เพราะฉะนั้น พวกเราจักถวายไทยธรรมตาม
กำลัง พวกท่านจงนำเอาผลาผลอันประณีตบรรดามี ที่ท่านทั้งหลาย
นำมาแล้ว มาเถิด ดังนี้แล้ว ให้นำผลาผลมา ล้างมือแล้วใส่ลงในบาตร
ของพระตถาคตเจ้าด้วยตนเอง.
เพียงเมื่อพระศาสดาทรงรับผสาผลเท่านั้น เทวดาทั้งหลายก็ใส่
โอชะอันเป็นทิพย์ลงไป. ดาบสกรองน้ำถวายด้วยตนเองทีเดียว.
ลำดับนั้น เมื่อพระศาสดาเสวยเสร็จแล้ว ดาบสผู้เป็นอาจารย์จึง
เรียกอันเตวาสิกทั้งหมดมา กล่าวสาราณีกถาในสำนักของพระศาสดา นั่ง
แล้ว.
พระศาสดาทรงดำริว่า ขอภิกษุจงมา. ภิกษุทั้งหลายที่เป็นพระ-
ขีณาสพประมาณ 100,000 รูป รู้พระดำริของพระศาสดาแล้ว พากัน
มาถวายบังคมพระศาสดา แล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น นันทดาบสเรียกอันเตวาสิกทั้งหลายมาแล้ว กล่าวว่า
พ่อทั้งหลาย แม้อาสนะที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายประทับนั่งก็ต่ำ. อีกทั้ง
อาสนะของพระสมณะ 100,000 รูปก็ไม่มี วันนี้ท่านทั้งหลายควรกระทำ
สักการะแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า และภิกษุสงฆ์ให้โอฬาร ท่านทั้งหลาย
จงนำดอกไม้อันสมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นมาจากเชิงเขา. ดาบสทั้งหลายนำ
ดอกไม้ที่สมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นมาโดยครู่เดียวเท่านั้น ปูอาสนะดอกไม้
ประมาณ 1 โยชน์ ถวายพระพุทธเจ้าแล้ว. เพราะเหตุที่วิสัยของท่านผู้มี
ฤทธิ์ เป็นอจินไตย. สำหรับพระอัครสาวก มีเนื้อที่ประมาณ 3 คาวุต.

สำหรับภิกษุทั้งหลายที่เหลือ มีเนื้อที่ประมาณกึ่งโยชน์เป็นต้นเป็นประเภท
สำหรับสั่งฆนวกะ ได้มีเนื้อที่ประมาณ 1 อุสภะ.
เมื่อดาบสทั้งหลายปูอาสนะเสร็จแล้วอย่างนี้ นันทดาบสยืนประคอง
อัญชลีอยู่เบื้องหน้าพระตถาคต แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้อพระองค์จงเสด็จขึ้นสู่อาสนะดอกไม้นี้ ประทับนั่ง เพื่อประโยชน์เกื้อกูล
และความสุขแก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง
บนอาสนะดอกไม้แล้ว เมื่อพระศาสดาประทับแล้วอย่างนี้ ภิกษุทั้งหลาย
รู้อาการของพระศาสดาแล้ว จึงนั่งบนอาสนะที่ถึงแล้วแก่ตน ๆ.
นันทดาบส ถือฉัตรดอกไม้ใหญ่ยืนกั้นไว้เหนือพระเศียรของพระ-
ตถาคตเจ้า. พระศาสดาทรงพระดำริว่า ขอสักการะนี้ของดาบสทั้งหลายจง
มีผลมากแล้วเข้านิโรธสมาบัติ. แม้ภิกษุทั้งหลายรู้ว่าพระศาสดาเข้าสมาบัติ
แล้วก็พากันเข้าสมาบัติ. เนื้อพระตถาคตเจ้าประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติ
ตลอด 7 วัน เมื่อถึงเวลาภิกขาจาร อันเตวาสิกทั้งหลาย ต่างบริโภคมูล
ผลาผลในป่า ในเวลาที่เหลือ ก็ยืนประคองอัญชลีแด่พระพุทธเจ้า.
ส่วนนันทดาบสไม่ยอมไปภิกขาจาร กั้นฉัตรดอกไม้ ยิ่งเวลาให้
ล่วงไปด้วยปีติสุขอย่างเดียวตลอด 7 วัน. พระศาสดาตรัสสั่งพระสาวก
รูปหนึ่ง ผู้ประกอบด้วยองค์ 2 คือองค์ของภิกษุผู้อยู่โดยไม่มีกิเลส และ
องค์แห่งภิกษุผู้เป็นทักขิไณยบุคคลว่า เธอจะกระทำอนุโมทนาถึงอาสนะที่
สำเร็จด้วยดอกไม้ แก่หมู่ฤๅษี. ภิกษุรูปนั้น มีใจยินดีแล้วดุจทหารผู้ใหญ่
ได้รับพระราชทานลาภใหญ่ จากสำนักของพระเจ้าจักรพรรดิ (เลือก
สรร) เฉพาะพุทธวจนะ คือพระไตรปิฎก มาทำอนุโมทนา ในที่สุดแห่ง
เทศนาของภิกษุนั้น พระศาสดาทรงแสดงธรรมด้วยพระองค์เอง.

ในเวลาจบเทศนา ดาบส 44,000 ทั้งหมดบรรลุพระอรหัตแล้ว
พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ออก ตรัสว่า เธอทั้งหลาย จงเป็นภิกษุ
มาเถิด. ผมและหนวดของดาบสเหล่านั้น อันตรธานไปในทันใดนั่นเอง.
บริขาร 8 สวมใส่อยู่แล้วในกายครบถ้วน ดาบสเหล่านั้นเป็นดุจพระเถระ
ผู้มีพรรษา 60 แวดล้อมพระศาสดาแล้ว. ส่วนนันทดาบสไม่ได้บรรลุ
คุณพิเศษ เพราะมีจิตฟุ้งซ่าน. ได้ยินว่า นันทดาบสนั้นจำเดิมแต่เริ่มฟัง
ธรรม ในสำนักของพระเถระผู้อยู่อย่างปราศาจากกิเลส ได้เกิดจิตตุปบาท
ขึ้นว่า โอหนอ แม้เราพึงได้คุณอันสาวกนี้ได้แล้ว ในศาสนาของพระ-
พุทธเจ้าองค์หนึ่งผู้จักเสด็จอุบัติในอนาคตกาล.
ด้วย ปริวิตกนั้น นันทดาบสจึงไม่สามารถทำการแทงตลอดมรรค
และผลได้. แต่ท่านได้ถวายบังคมแด่พระตถาคตเจ้า ประคองอัญชลีแล้ว
ยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์ กราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุ
ผู้กระทำอนุโมทนาถึงอาสนะที่ทำด้วยดอกไม้ ต่อหมู่ฤๅษีนี้ มีชื่ออย่างไร
ในศาสนาของพระองค์. พระศาสดาตรัสตอบว่า ภิกษุนั้นชื่อว่าถึงแล้วซึ่ง
ตำแหน่งเอตทัคคะ ในองค์แห่งภิกษุผู้อยู่อย่างไม่มีกิเลส และในองค์แห่ง
ภิกษุผู้เป็นทักขิไณยบุคคล. ท่านได้ทำความปรารถนาไว้ว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ สักการะนี้ใดที่ข้าพระองค์ผู้เข้าไปทรงไว้ซึ่งฉัตรคือดอกไม้ ตลอด
7 วัน กระทำแล้วด้วยอธิการนั้น ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาสมบัติอื่น
แต่ในอนาคตกาล ขอข้าพระองค์พึงเป็นสาวกผู้ประกอบด้วยองค์ 2 ดุจ
พระเถระนี้ ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิด.
พระศาสดาทรงส่งอนาคตังสญาณไปตรวจดูอยู่ว่า ความปรารถนา
ของดาบสนี้ จักสำเร็จหรือไม่หนอ ทรงตรวจดูอยู่ ทรงเห็นความ

ปรารถนาของดาบสจะสำเร็จโดยล่วงแสนกัปไปแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อน
ดาบส ความปรารถนาของท่านจักไม่เป็นโมฆะ ในอนาคตกาลผ่านแสน-
กัปไปแล้ว. พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมจักเสด็จอุบัติขึ้น ความ
ปรารถนาของท่านจักสำเร็จในสำนักของพระพุทธเจ้า พระนามว่าโคดม
นั้น แล้วตรัสธรรมกถา ทรงแวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์แล้วแล่นไปสู่
อากาศ.
นันทดาบสได้ยืนประคองอัญชลีแล้วอุทิศเฉพาะพระศาสดา และ
ภิกษุสงฆ์จนกระทั่งลับคลองจักษุ. ในเวลาต่อมา ท่านเข้าไปเฝ้าพระ-
ศาสดาฟังธรรมตามกาลเวลา. มีฌานไม่เสื่อมแล้วทีเดียว ทำกาละไป
บังเกิดขึ้นพรหมโลก. และจุติจากพรหมโลกนั้นแล้วบวชอีก 500 ชาติ
ได้เป็นผู้มีการอยู่ป่าเป็นวัตร. แม้ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระนามว่ากัสสปะ ก็ได้บวชเป็นผู้มีการอยู่ป่าเป็นวัตร บำเพ็ญคตปัจจา-
คตวัตร ให้บริบูรณ์แล้ว. ได้ยินว่า ผู้ที่ไม่ได้บำเพ็ญวัตรนี้ ชื่อว่าจะ
บรรลุถึงความเป็นพระมหาสาวกไม่ได้เลย ก็คตปัจจาคตวัตรพึงทราบโดย
นัยที่ท่านกล่าวไว้ ในอรรถกถาที่มาแล้วทั้งหลายนั้นแล บังเกิดในภพ
ดาวดึงส์เทวโลก.
ก็นันทดาบสนั้น เสวยทิพยสมบัติด้วยสามารถแห่งการเกิด สลับ
กันไปในดาวดึงส์พิภพด้วยประการฉะนี้ จุติจากดาวดึงส์พิภพนั้นแล้ว
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ และเป็นเจ้าประเทศราชในมนุษย์โลก. นับได้
หลายร้อยครั้ง เสวยมนุษย์สมบัติอันโอฬาร ต่อมาในพระศาสนาของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย. เกิดเป็นน้องชายของท่านอนาถบิณ-
ฑิกเศรษฐี ในเรือนสุมนเศรษฐี ณ กรุงสาวัตถี ได้มีนามว่า สุภูติ.

สมัยนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย เสด็จอุบัติขึ้นแล้วใน
โลก. ทรงประกาศธรรมจักร เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์โดยลำดับ ทรง
กระทำการอนุเคราะห์สัตว์โลก โดยการรับมอบพระวิหารเวฬุวันเป็นต้น
ในกรุงราชคฤห์นั้น อาศัยกรุงราชคฤห์ประทับอยู่ในป่าสีตวัน. ครั้งนั้น
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ถือเอาเครื่องมือของผู้หมั่นขยันในนครสาวัตถี
สร้างเรือนของเศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ สดับข่าวการเสด็จอุบัติแห่งพระ-
พุทธเจ้า จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา. ผู้เสด็จประทับอยู่ ณ ป่าสีตวัน ดำรง
อยู่แล้วในโสดาปัตติผลโดยการเฝ้าครั้งแรกทีเดียว แล้วทูลขอให้พระ-
ศาสดาเสด็จมากรุงสาวัตถีอีก. ให้สร้างพระวิหาร โดยการบริจาคทรัพย์
1 แสน ไว้ในที่ห่างกันโยชน์หนึ่ง ๆ ในระยะทาง 45 โยชน์ ถัดจาก
กรุงสาวัตถีนั้น มีที่สวนของพระราชกุมารทรงพระนามว่าเชตะ ประมาณ
8 กรีส โดยมาตราวัดหลวง ด้วยการเอาทรัพย์ปูลาดไปเป็นโกฏิ ๆ. ใน
วันที่พระศาสดาทรงรับพระวิหาร สุภูติกุฎุมพีนี้ได้ไปพร้อมกับท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐีฟังเทศนา ได้มีศรัทธาบรรพชาแล้ว.
ท่านอุปสมบทแล้วทำมาติกา 2 ให้คล่องแคล่ว ให้อาจารย์บอก
กรรมฐาน บำเพ็ญสมณธรรมในป่า เจริญวิปัสสนา มีเมตตาฌานเป็น
บาทบรรลุพระอรหันต์แล้ว. ก็เพราะเมื่อท่านแสดงธรรม ย่อมแสดงธรรม
ไม่เจาะจง ตามท่านองที่พระศาสดาทรงแสดงแล้ว ฉะนั้น ท่านจึงได้นาน
ว่าเป็นผู้เลิศแห่งภิกษุผู้อยู่โดยไม่มีข้าศึก. เมื่อเที่ยวบิณฑบาต ก็เข้าฌาน
แผ่เมตตาไปทุก ๆ บ้าน ออกจากฌานแล้วจึงรับภิกษา. ด้วยคิดว่า โดย
วิธีนี้ทายกทั้งหลายจักมีผลมาก. เพราะฉะนั้น ท่านจึงชื่อว่าเป็นผู้เลิศแห่ง
ทักขิไณยบุคคลทั้งหลาย.

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งลันเลิศ
อันประกอบด้วยองค์ 2 ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระสุภูติเป็นผู้เลิศแห่ง
ภิกษุสาวกของเรา ผู้มีปกติอยู่ด้วยความไม่มีกิเลส พระสุภูติเป็นผู้เลิศแห่ง
ภิกษุสาวกของเราผู้เป็นทักขิไณยบุคคลดังนี้.
พระมหาเถระนี้ บรรลุพระอรหัตอันเป็นที่สุดของผลแห่งบารมีที่ตน
ได้บำเพ็ญมา เป็นผู้ฉลาดเปรื่องปราชญ์ในโลก เที่ยวจาริกไปตามชนบท
เพื่อบำเพ็ญประโยชน์แก่ชนหมู่มาก ถึงกรุงราชคฤห์แล้วโดยลำดับ ด้วย
ประการฉะนี้.
พระเจ้าพิมพิสาร ทรงสดับการมาของพระเถระแล้ว เสด็จเข้าไป
หา ทรงไหว้แล้วตรัสว่า ท่านผู้เจริญ นิมนต์ท่านอยู่ในที่นี้แหละ ข้าพเจ้า
จะสร้างที่อยู่ถวายดังนี้แล้ว เสด็จหลีกไป. พระเถระเมื่อไม่ได้เสนาสนะก็ยัง
กาลให้ผ่านไปในอัพโภกาส (กลางแจ้ง). ด้วยอานุภาพของพระเถระ
ฝนไม่ตกเลย.
มนุษย์ทั้งหลาย ถูกภาวะฝนแล้งปิดกั้นคุกคาม จึงพากันไปทำการ
ร้องทุกข์ ที่ประตูวังของพระราชา. พระราชาทรงใคร่ครวญว่า ด้วยเหตุ
อะไรหนอแล ฝนจึงไม่ตก แล้วทรงพระดำริว่า ชะรอยพระเถระจะอยู่
กลางแจ้ง ฝนจึงไม่ตก แล้วรับสั่งให้สร้างกุฎีมุงด้วยใบไม้ถวายพระเถระ
แล้วรับสั่งว่า ท่านผู้เจริญ นิมนต์ท่านอยู่ในบรรณกุฎีนี้แหละ ไหว้แล้ว
เสด็จหลีกไป. พระเถระไปสู่กุฎีแล้วนั่งขัดสมาธิบนอาสนะที่ลาดด้วยหญ้า.
ในครั้งนั้น ฝนหยาดเม็ดเล็ก ๆ ตกลงมาทีละน้อย ๆ ไม่ยังสายธารให้
ชุ่มชื่นทั่วถึง.
ลำดับนั้น พระเถระประสงค์จะบำบัดภัยอันเกิดแต่ฝนแล้ง แก่ชาว

โลก เมื่อจะประกาศความไม่มีอันตราย ที่เป็นวัตถุภายในและภายนอก
ของตน จึงกล่าวคาถามีอาทิว่า ฉนฺนา เม กุฏิกา ดังนี้. ความแห่งคำ
เป็นคาถามั่น ท่านกล่าวไว้แล้วเถรคาถานั่นแล.
ข้อว่า ก็เพราะเหตุไร พระมหาเถระเหล่านั้น จึงประกาศคุณของ
ตน ความว่า พระอริยะทั้งหลายมักน้อยอย่างยิ่ง พิจารณาถึงโลกุตตร-
ธรรมที่คนบรรลุแล้ว อันสงบประณีตอย่างยิ่ง ลึกซึ่งอย่างยิ่ง ที่ตนไม่
เคยบรรลุโดยกาลนานนี้ จึงประกาศคุณของตน เพื่อแสดงอุทานอันกำลัง
ปีติช่วยกระตุ้นเตือนให้อาจหาญ และเพื่อแสดงภาวะที่พระศาสนาเป็นธรรม
นำสัตว์ออกจากทุกข์. ด้วยอำนาจอัธยาศัยของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย พระ-
โลกนาถจึงทรงประกาศคุณของพระองค์ โดยนัยมีอาทิว่า ภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตผู้ประกอบด้วยทศพลญาณ เป็นผู้แกล้วกล่าในเวสารัชชญาณดังนี้
ฉันใด แม้คาถาม ก็เป็นคาถาพยากรณ์พระอรหัตผล ฉนนั้น.
ท่านได้บรรลุพระอรหัตผล และได้รับตำแหน่งเอตทัคคะอย่างนี้
แล้ว ระลึกถึงบุพกรรมของตน แล้วเกิดโสมนัส เมื่อจะประกาศปุพพ-
จริตาปทาน จึงกล่าวคำมีอาทิว่า หิมวนฺตสฺสวิทูเร ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หิมนฺตสฺส ความว่า ในที่ไม่ไกล คือ
ในที่ใกล้เคียง ได้แก่ ณ เชิงแห่งหิมวันตบรรพต. อธิบายว่า เป็นที่สัญจร
อันสมบูรณ์ด้วยคมนาคมแห่งเหล่ามนุษย์. บทว่า นิสโภ นาม ปพฺพโต
เชื่อมความว่า ได้มีภูเขาอันล้วนแล้วด้วยหิน ว่าโดยชื่อ ชื่อว่า นิสภะ
เพราะประเสริฐที่สุดกว่าภูเขาทั้งหลาย. บทว่า อสฺสโม สุกโต มยฺหํ
ความว่า ได้สร้างที่อยู่ด้วยดีให้เป็นอาศรม เพื่อประโยชน์แก่การอยู่ของ
เราที่ภูเขานั้น. อธิบายว่า สร้างโดยอาการอย่างดี ด้วยสามารถแห่งกุฎีที่พัก

กลางคืน ที่พักกลางวัน มีรั้วล้อมรอบเป็นต้น. บทว่า ปณฺณสาลา
สุมาปิตา
ความว่า ศาลาที่มุงด้วยใบไม้ได้สร้างให้สำเร็จด้วยดี เพื่อเป็น
ที่อาศัยของเรา.
บทว่า โกสิโย นาม นาเมน ความว่า โดยนามที่มารดาบิดา
ตั้งให้ว่า โกสิยะ. มีเดชรุ่งเรือง คือมีเดชปรากฏ ได้ก็มีเดชกล้า.
เราผู้เดียวเท่านั้น เพราะไม่มีผู้อื่นเป็นเพื่อนสอง. เชื่อมความว่า เราเป็น
ชฎิลดาบสคือผู้ทรงไว้ซึ่งชฎา ไม่มีเพื่อนสอง คือเว้น จากดาบสคนที่ 2
ในกาลนั้นเราอยู่ที่ภูเขา ชื่อว่า นิสภะ. บทว่า ผลํ มูลญฺจ ปณฺณญฺจ
น ภุญฺชามิ อหํ ตทา
ความว่า ในกาลนั้น คือในกาลที่เราอยู่ที่นิสภ-
บรรพตนั้น เราไม่ได้บริโภคผลไม้ เหง้ามันและใบไม้ที่เก็บจากต้น. เมื่อ
แสดงถึงข้อนั้นว่า เป็นเช่นนี้ จะเป็นอยู่ได้อย่างไร จึงกล่าวว่า ปวตฺตํ ว
สุปาตาหํ
ดังนี้. เชื่อมความว่า ในกาลนั้นเราอาศัยใบไม้เป็นต้น ที่หล่น
เองในที่นั้น ๆ คือที่ตกไปตามธรรมดาของตน เป็นอาหารเลี้ยงชีพ อีก
อย่างหนึ่งบาลีว่า ปวตฺตปณฺฑุปณฺณานิ ดังนี้ก็มี. ความว่า เราอาศัยใบ
ไม้เหลืองที่หล่นเองเลี้ยงชีพ.
บทว่า นาหํ โกเปมิ อาชีวํ ความว่า เราแม้เมื่อจะสละชีวิต คือ
เมื่อทำการบริจาค ย่อมไม่ยังสัมมาอาชีวะให้กำเริบคือให้พินาศ ในการ
แสวงหาอาหาร มีมูลผลาผลเป็นต้น ด้วยอำนาจตัณหา. บทว่า อาราเธมิ
สกํ จิตฺตํ
ความว่า ย่อมยังจิตคือใจของคนให้ยินดี คือให้เลื่อมใส ด้วย
ความมักน้อยและสันโดษ. บทว่า วิวชฺเชมิ อเนสนํ ความว่า เราเว้นการ
แสวงหาอันไม่สมควร ด้วยอำนาจกรรมมีเวชกรรม และทูตกรรมเป็นต้น
ให้ห่างไกล. บทว่า ราคูปสํหิตํ จิตฺตํ ความว่า เมื่อใดคือในกาลใด

จิตของเราสัมปยุตด้วยราคะย่อมเกิดขึ้น ในกาลนั้นเราพิจารณาตนด้วยตน
เอง คือพิจารณาด้วยญาณแล้วบรรเทา. บทว่า เอกคฺโค ตํ ทเมมหํ
ความว่า เราเป็นผู้มีอารมณ์ตั้งมั่น ในอารมณ์แห่งกรรมฐานอย่างหนึ่ง
ย่อมฝึกคือกระทำการทรมานจิตที่ประกอบด้วยราคะ.
บทว่า รชฺชเส รชฺชนีเย จ ความว่า ท่านกำหนัด คือคิดอยู่ใน
อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด คือในวัตถุมีรูปอารมณ์เป็นต้น. บทว่า
ทุสฺสนีเย จ ทุสฺสเส ความว่า ท่านขัดเคือง ในอารมณ์อันเป็นที่
ขัดเคือง คือในวัตถุอันกระทำความประทุษร้าย. บทว่า มุยฺหเส โมหนีเย
ความว่า ท่านเป็นผู้ลุ่มหลง ในอารมณ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความหลง
คือในวัตถุอันกระทำซึ่งความหลง. เชื่อมความว่า เพราะฉะนั้น เราย่อม
ฝึกตนอย่างนี้ว่า ท่านจงออกไปคือหลีกไปจากป่า คือจากการอยู่ป่า.
บทว่า ติมฺพรูสกวณฺณาโภ ความว่า พระพุทธเจ้าผู้มีพระรัศมี
เหมือนผลมะพลับมีสีดังทองคำ. อธิบายว่า มีสีเหมือนทองชมพูนุท. คำ
ที่เหลือรู้ได้ง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาสุภูติเถราปทาน

อุปวาณเถราปทานที่ 2 (22)


ว่าด้วยผลแห่งการถวายธง


[24] พระสัมพุทธชินเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ทรงรู้จบธรรม
ทั้งปวง ทรงรุ่งเรืองดังกองไฟ เสด็จปรินิพพานแล้ว.

มหาชนมาประชุมกันบูชาพระตถาคต กระทำจิตกาธาร
อย่างสวยงามแล้วปลงพระสรีระ.

มหาชนทั้งหมดพร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ทำสรีรกิจเสร็จ
แล้ว รวบรวมพระธาตุไว้ ณ ที่นั้น ได้สร้างพระพุทธสถูปไว้.

ชั้นที่ 1 แห่งพระพุทธสถูปนั้นสำเร็จด้วยทอง ชั้นที่ 2
สำเร็จด้วยแก้วมณี ชั้นที่ 3 สำเร็จด้วยเงิน ชั้นที่ 4 สำเร็จ
ด้วยแก้วผลึก. ชั้นที่ 5 ในพระพุทธสถูปนั้น สำเร็จด้วยแก้ว
ทับทิม ชั้นที่ 6 สำเร็จด้วยแก้วลาย ชั้นบนสำเร็จด้วยรัตนะ
ล้วน.

ทางเดินสำเร็จด้วยแก้วมณี ไพที่สำเร็จด้วยรัตนะ พระ-
สถูปสำเร็จด้วยทองล้วน ๆ สูงสุดหนึ่งโยชน์ เวลานั้น เทวดา
ทั้งหลายมาร่วมประชุมปรึกษากัน ณ ที่นั้นว่า แม้พวกเราก็จัก
สร้างพระสถูปถวายแด่พระโลกนาถผู้คงที่.

พระธาตุจะได้ไม่เรี่ยราย พระสรีระจะรวมเป็นอันเดียวกัน
เราทั้งหลายจักทำกุญแจใส่ในพระพุทธสถูปนี้.

เทวดาทั้งหลายจึงยังโยชน์อื่นให้เจริญด้วยรัตนะ 7 ประ-
การ (เทวดาทั้งหลายจึงนิรมิตพระสถูปให้สูงเพิ่มขึ้นอีกโยชน์